คุณเคยรู้สึกกังวลกับอาการตาปรือที่ทำให้ดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลาหรือไม่? ภาวะตาปรือหรือที่เรียกว่า Ptosis เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบทั้งต่อบุคลิกภาพและการมองเห็น สาเหตุของอาการนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่พันธุกรรม อายุที่มากขึ้น ไปจนถึงโรคบางชนิด การทำความเข้าใจสาเหตุของตาปรือจะช่วยให้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
ตาปรือ ตาง่วง คืออะไร
ตาปรือ (Ptosis) เป็นภาวะที่หนังตาบนหย่อนคล้อยลงมาปิดตาดำมากกว่าปกติ ทำให้ดวงตาดูเล็กลง มองดูคล้ายคนง่วงนอนตลอดเวลา อาการนี้อาจเกิดขึ้นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ บางคนอาจมีอาการตาปรือจนทำให้ตาทั้งสองข้างดูไม่เท่ากัน ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจ เพราะทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า ไม่สดชื่น
ตาปรือ ตาง่วงเกิดจากอะไร
อาการตาปรือหรือตาง่วงเป็นภาวะที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา ทำให้เปลือกตาหย่อนคล้อยลงมาปิดตาดำมากกว่าปกติ ส่งผลให้ดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตาที่ร้ายแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง มาทำความรู้จักกับสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดตาปรือกัน
อายุ
เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อยกเปลือกตาจะเกิดการหย่อนคล้อยตามธรรมชาติ ผิวหนังบริเวณรอบดวงตาเกิดการยืดตัว ส่งผลให้เปลือกตาตก เกิดอาการตาปรือได้ นอกจากนี้ยังทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ขาดความสดใส และดูเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา
พฤติกรรม
พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างสามารถกระตุ้นให้เกิดตาปรือได้ เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือการใช้สายตาหนักในการจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ นานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า เกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา จนนำไปสู่อาการตาปรือได้
พันธุกรรม
อาการตาปรือสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โดยมักพบตั้งแต่วัยเด็ก หากมีคนในครอบครัวเป็นตาปรือ ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นได้เช่นกัน ในกรณีที่พบอาการตั้งแต่เด็ก ควรรีบรักษาเพื่อป้องกันการเกิดภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) ที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว
อุบัติเหตุ
การได้รับบาดเจ็บบริเวณรอบดวงตา ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อยกหนังตา อาจทำให้เกิดตาปรือได้ในภายหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นประสาทไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ รวมถึงการบาดเจ็บที่สมองบริเวณที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อตาก็สามารถทำให้เกิดตาปรือได้เช่นกัน
โรคบางชนิด
โรคบางอย่างอาจทำให้เกิดตาปรือได้ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia Gravis (MG) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบกพร่อง หรือเนื้องอกบริเวณตาก็สามารถกดทับและทำให้เกิดตาปรือได้
การศัลยกรรมตาสองชั้น
การผ่าตัดตาสองชั้นอาจเป็นสาเหตุของตาปรือได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อเปลือกตา หรือการผ่าตัดโดยแพทย์ที่ขาดความชำนาญ หากพบว่าเกิดตาปรือหลังการทำศัลยกรรม ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการแก้ตาสองชั้น เพื่อให้มีดวงตาที่สวยได้รูป
ลักษณะและอาการของตาปรือ
ผู้ที่มีอาการตาปรือจะมีลักษณะเด่นชัดที่สังเกตได้
- มีอาการตาแห้งหรือน้ำตาไหลมากผิดปกติ
- ใบหน้าดูอ่อนล้าตลอดเวลา
- มีพฤติกรรมเอียงศีรษะไปด้านหลังหรือเชิดคางขึ้นเวลามองสิ่งต่าง ๆ
- มีอาการปวดรอบดวงตา
- ดวงตาทั้งสองข้างอาจไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าไม่สมดุล
ผลกระทบของการเป็นตาปรือ
อาการตาปรือไม่ได้ส่งผลแค่ด้านความสวยงามเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนเนื่องจากเปลือกตาบดบังการมองเห็น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความมั่นใจ การเข้าสังคม และการทำงานที่ต้องใช้สายตามาก รวมถึงอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะจากการพยายามลืมตาให้กว้างขึ้น
ปัญหาตาปรือ ตาง่วงเสี่ยงโรคอะไรบ้าง
หากปล่อยให้อาการตาปรือเรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้มากมาย เช่น โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) เนื่องจากสมองไม่ได้รับการกระตุ้นจากการมองเห็นอย่างเต็มที่ อาจเกิดภาวะสายตาเอียงเพราะเปลือกตากดทับกระจกตา ในกรณีที่มีปัญหาตาปรือตั้งแต่เด็ก แล้วไม่รีบทำการแก้ไขอาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านการมองเห็นและการเรียนรู้ได้
ตาปรือแบบไหนที่ควรพบแพทย์ ใครบ้าง
เมื่อมีอาการตาปรือที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หรือส่งผลกระทบต่อการมองเห็น โดยเฉพาะในเด็กที่มีอาการตาปรือตั้งแต่กำเนิด ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อประเมินอาการและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงผู้ที่มีอาการตาปรือหลังการผ่าตัดตาหรือได้รับอุบัติเหตุก็ควรพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยเช่นกัน
วิธีการรักษาตาปรือ
การรักษาตาปรือต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีการผ่าตัดแก้ไขบริเวณกล้ามเนื้อตาที่อ่อนแรง เพื่อยกระดับเปลือกตาให้เปิดกว้างและมีความสมดุล ในบางกรณีอาจต้องทำควบคู่กับการทำตาสองชั้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีหนังตาหนาและหย่อนคล้อยมาก วิธีการผ่าตัดแก้ไขตาปรือมี 3 แบบหลัก
- การผ่าตัดกล้ามเนื้อยกเปลือกตา (Levator Surgery) : เหมาะสำหรับผู้ที่มีตาปรือรุนแรง โดยแพทย์จะผ่าตัดผ่านทางด้านนอกเปลือกตา ปรับแต่งกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น
- การผ่าตัดกล้ามเนื้อมิลเลอร์ (Mullerectomy) : เหมาะกับผู้ที่มีอาการไม่มาก แพทย์จะผ่าตัดผ่านด้านในเปลือกตา ทำให้ไม่เห็นแผลเป็นภายนอก เป็นวิธีที่ช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว
- การผ่าตัดแบบใช้กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis Sling) : เหมาะสำหรับผู้ที่กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงมาก โดยใช้เทคนิคพิเศษในการดึงเปลือกตาด้วยกล้ามเนื้อหน้าผาก ช่วยให้ลืมตาได้ดีขึ้น
ขั้นตอนการรักษาตาปรือที่ Doctor Garn Clinic
ก่อนที่จะทำการรักษาอาการตาปรือ เราควรเข้าใจขั้นตอนการรักษาก่อน เพื่อที่จะได้มีการเตรียมตัวอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งเข้าใจวิธีการดูแลตัวเองหลังจากการรักษา เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การเตรียมตัวก่อนรับการรักษา
- หยุดรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน คอลลาเจน และน้ำมันตับปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
- แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่ใช้ประจำให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- สระผมให้เรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด เนื่องจากต้องหลีกเลี่ยงการโดนน้ำหลังผ่าตัด
- เตรียมแว่นกันแดดและอุปกรณ์ป้องกันแสงแดดมาในวันผ่าตัด
- หากใส่คอนแทคเลนส์ ให้เตรียมแว่นสายตามาด้วย เพราะต้องงดใส่คอนแทคเลนส์หลังผ่าตัด
การดูแลตัวหลังรับการรักษา
- ประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และแก้มด้วยเจลประคบเย็นในช่วง 72 ชั่วโมงแรก
- เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นหลังผ่านไป 3-5 วัน เพื่อช่วยลดรอยช้ำ
- หลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณแผลผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน
- งดกิจกรรมที่ต้องใช้สายตามากอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือและทายาตามที่แพทย์สั่ง
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ข้อดีของการรักษาตาปรือ
การรักษาตาปรือนั้นมีข้อดีในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านการมองเห็น ความสวยงาม และช่วยให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ไปดูกันว่าข้อดีของการรักษาตาปรือนั้นมีข้อดีอย่างไรบ้าง
ด้านการมองเห็น
- แก้ไขปัญหาการมองเห็นที่ไม่ชัดเจนจากเปลือกตาบดบังลูกตาดำ
- ช่วยป้องกันปัญหาสายตาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว เช่น ตาขี้เกียจหรือสายตาเอียง
- ลดอาการล้าตาจากการพยายามลืมตาให้กว้าง
ด้านความสวยงาม
- ทำให้ดวงตาเปิดกว้าง สดใส ไม่ดูง่วงนอน
- ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ไม่แก่กว่าวัย
- แก้ไขปัญหาตาและคิ้วไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าสมมาตร
- ทำให้การแต่งหน้าง่ายขึ้น โดยเฉพาะการแต่งตา
ด้านคุณภาพชีวิต
- เพิ่มความมั่นใจในการเข้าสังคม
- ไม่ต้องเงยหน้าหรือเลิกคิ้วเพื่อมองให้เห็นชัด
- ลดอาการปวดคอและศีรษะจากการเกร็งกล้ามเนื้อ
- ช่วยให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ สะดวกขึ้น โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้สายตามาก
ทำไมต้องรักษาตาปรือที่ Doctor Garn Clinic
Doctor Garn Clinic เป็นคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงในการผ่าตัดเปลือกตามากกว่า 10 ปี พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน คลินิกให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยแบบองค์รวม วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล และออกแบบรูปทรงดวงตาให้เข้ากับโครงหน้าของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละราย นอกจากนี้ยังมีระบบติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
รีวิวการรักษาตาปรือที่ Doctor Garn Clinic
FAQ
ตาปรือถ้าไม่รักษาสามารถหายเองได้ไหม
ตาปรือไม่สามารถหายเองได้ เพราะเป็นความผิดปกติของกล้ามเนื้อเปลือกตา หากปล่อยไว้อาการจะรุนแรงขึ้นและอาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว จึงควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
รักษาตาปรือ ราคาเท่าไหร่
ค่ารักษาตาปรือ แก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเริ่มต้นประมาณ 85,000 บาท ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ วิธีการรักษา และความซับซ้อนของการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายที่แน่นอน
การศัลยกรรมตาปรือพักฟื้นกี่วัน
โดยปกติการศัลยกรรมตาปรือใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 7-14 วัน โดยอาการบวมช้ำจะลดลงภายใน 1 สัปดาห์แรก สามารถกลับไปทำงานได้หลังผ่าตัด 5-7 วัน แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้สายตาหนักในช่วงแรก
ศัลยกรรมตาปรือทำร่วมกับศัลยกรรมอื่นได้หรือไม่
สามารถทำร่วมกับศัลยกรรมอื่นได้ เช่น การทำตาสองชั้น ตัดหนังตา หรือศัลยกรรมจมูก แต่ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนว่าเหมาะสมและปลอดภัย
หลังรักษาตาปรือห้ามกินอะไรบ้าง
ควรงดอาหารรสจัด ของหมักดอง อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อป้องกันการอักเสบและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
โรคอะไรบ้างที่ไม่สามารถรับการรักษาตาปรือได้
ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ หรือมีการติดเชื้อบริเวณใบหน้า อาจไม่เหมาะสมกับการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนการรักษา