PRP (PLATELET  RICH  PLASMA)

PRP (PLATELET  RICH  PLASMA) คืออะไร

                เลือดในร่างกายของมนุษย์เราประกอบด้วย พลาสมาเหลว (Plasma) เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood cell) เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood cell) และเกล็ดเลือด(Platelet) และเกล็ดเลือดก็แบ่งออกเป็น 2 ชนิดก็คือ เกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma) และเกล็ดเลือดที่ไม่เข้มข้น (Platelet Poor Plasma)

                 ในการทำ PRP (PLATELET RICH PLASMA) ก็คือ การนำเลือดของตัวเองมาปั่นเพื่อแยกชั้นของพลาสมา(Plasma)ซึ่งมีลักษณะเป็นสีเหลืองใสออกมา และในพลาสม่าประกอบด้วยเกล็ดเลือด แพทย์จะสกัดเอาเกล็ดเลือดจากชั้นที่มีความเข้มข้นสูงที่สุดมาใช้ในการบำบัดและฟื้นฟูสภาพเซลล์ผิว เพราะในเกล็ดเลือดชั้นนี้ประกอบด้วยสารต่างๆที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด สามารถกระตุ้น Growth Factor ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน กระตุ้นการเติบโตและการแบ่งเซลล์ของผิวหนัง ช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว พร้อมทั้งช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นด้วย

                ความจริงแล้วได้มีการนำ PRP มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยมากว่า 30 ปีแล้ว ในโรคที่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นเอ็นหน้าเข่า เอ็นร้อยหวาย เอ็นสะโพก กล้ามเนื้อต้นขา กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น โดยรักษาและซ่อมแซมส่วนที่เสื่อมหรือสึกหรอ โรคทางทันตกรรม การรักษาผมร่วง รวมถึงการฟื้นฟูผิวจากภายในเพื่อลดริ้วรอย ชะลอความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย

การใช้ PRP รักษาผิวหน้า
เมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลทำให้เซลล์ผิวเริ่มเสื่อมลงเนื่องจากการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อลดลง ความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวลดลงทำให้เกิดปัญหาและริ้วรอยต่างๆบนใบหน้า หนึ่งในเทคโนโลยีเพื่อความงามที่ถูกคิดค้นและพัฒนามาเพื่อซ่อมแซมและสร้างเสริมส่วนต่างๆบนใบหน้าคือ PRP (PLATELET RICH PLASMA) เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความยืดหยุ่นของผิวน้อย มีรอยคล้ำใต้ตา มีร่องแก้ม ผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยตามส่วนต่างๆของใบหน้า ทั้งหน้าผาก หว่างคิ้วหรือหางตา ผิวหย่อนคล้อย ผู้ที่มีแผลเป็น เป็นสิว รอยดำจากสิว ฝ้ากระ ผิวหน้าแห้งกร้าน ซึ่งผลลัพธ์จากการทำ PRP มีดังต่อไปนี้

1.ช่วยฟื้นฟู กระตุ้น ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และเสริมสร้างผิวจากภายในในระดับลึก ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์

2.เนื่องจากการทำ PRP Therapy ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน ที่เกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นให้กับผิว และสร้างหลอดเลือดภายในผิวขึ้นมาใหม่ หน้าดูเปล่งปลั่งสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น

3.ช่วยรักษาสิว ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยดำจากสิว ช่วยให้ขนาดรูขุมขนเล็กลง

4.ช่วยรักษาหลุมสิว หรือรอยแผลเป็นที่มีขนาดเล็กลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลของการรักษาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อายุ ความหนักเบาของอาการ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังการรักษา

ขั้นตอนการทำPRP (PLATELET RICH PLASMA)

  • เจาะเลือดจากข้อพับ ประมาณ 15-20 cc
  • นำเลือดมาปั่นเพื่อสกัดผ่านเครื่อง Centrifuge เพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นและมี Growth Factor สูง หรือที่เรียกว่า PRP (PLATELET RICH PLASMA)
  • แยกเกล็ดเลือดที่สมบูรณ์และเข้มข้นออกมา(PRP)
  • ฉีดเกล็ดเลือด PRP กลับเข้าไปสู่ส่วนต่างๆของใบหน้าในชั้นใต้ผิวที่เรียกว่า Mesoderm

ข้อจำกัดเกี่ยวกับการทำPRP

ถึงแม้การทำ PRP (PLATELET RICH PLASMA) จะมีประโยชน์มากในการฟื้นฟูและรักษาผิวหน้า แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับกลุ่มคนต่อไปนี้

  • กลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยติดเชื้อ หรือผู้ที่มีโรคผิวหนังบางประเภท
  • ผู้ที่รับประทานยาสลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด
  • ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
  • ผู้ที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
  • ผู้ที่กำลังป่วยอยู่ควรรักษาตัวให้หายดีก่อนทำ PRP Therapy เพราะอาจมีเชื้อโรคปะปนในกระแสเลือด

ความถี่ในการทำ PRPและระยะเวลาที่เห็นผล

ในการกระตุ้นคอลลาเจนในเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะเห็นผลอย่างชัดเจนใน 3 เดือน เพื่อการบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ควรทำ PRP Therapy ซ้ำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ ซึ่งจะสามารถอยู่ได้นาน 1 -1 ½ ปี

การปฏิบัติตัวก่อนทำ PRP

  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมงเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ประมาณ 5 – 2 ลิตร
  • ห้ามรับประทานยาต้านการอักเสบและการแข็งตัวของเลือดในกลุ่ม ASA หรือ NSIAD ก่อนทำ2-3 วัน
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อย่างน้อย 2-3 วัน
  • งดอาหารที่มีไขมันสูง

การปฏิบัติตัวหลังทำ PRP

  • งดล้างหน้า 4-6 ชั่วโมงแรกหลังการทำ PRP
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดประมาณ 2- 3 วัน
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
  • งดการออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ทาครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ให้หลีกเลี่ยงการทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสาร Whitening
  • ควรพักหน้า โดยงดแต่งหน้าอย่างน้อย 1 วัน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาประเภทแอสไพริน(Aspirin) และไอบูโพรเฟ่น(Ibuprofen) ประมาณ 2-3 วัน

อาการข้างเคียงหลังการทำPRP

                โดยทั่วไปแล้ว การทำ PRP นับเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แทบจะไม่มีอาการข้างเคียงใดๆที่เป็นอันตรายเลยเนื่องจากไม่ใช่สารสังเคราะห์ แต่เป็นเกล็ดเลือดที่สกัดมาจากเลือดของผู้ป่วยหรือของลูกค้าเอง ในช่วงแรกที่ฉีด PRP เข้าผิวหนังจะรู้สึกอุ่นๆในบริเวณที่ฉีด แต่อาการดังกล่าวจะหายไปภายใน 10-15 นาที ในบางรายอาจมีอาการบวมหรือฟกช้ำเล็กน้อยประมาณ 2-3วัน แต่โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายในระยะเวลาไม่นาน